วัตถุประสงค์ของบล็อกนี้

เพื่อประกอบการเรียนการสอนรายวิชาอินเตอร์เน็ตเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน และเป็นเเหล่งรวบรวมความรู้ต่างๆที่น่าสนใจ

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

นิพพานเป็นอย่างไร?

พระศาสดาตรัสว่า

“สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด
มีทางปฎิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบนั้นมีอยู่

ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่อาจเข้าไปอยู่ได้

ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่อาจเข้าไปอยู่ได้

ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูป ดับสนิทไม่เหลือ

นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ(หมายถึงวิญญาณในขันธ์ 5)

สิ่ง ๆ หนึ่งซึ่งไม่มีสภาวะแบบโลกให้ปรากฏ
ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่อาจเข้าไปอยู่ ในที่ใด
ในที่นั้นดาวฤกษ์ทั้งหลาย ย่อมไม่ส่องแสง; ในที่นั้น
ดวงอาทิตย์ก็ไม่ปรากฏในที่นั้น
ดวงจันทร์ก็ไม่ส่องแสง
แต่ความมืด ก็มิได้มีอยู่ในที่นั้น

ที่สุดโลกแห่งใด อันสัตว์ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ
เราไม่กล่าวว่าใครๆอาจรู้ อาจเห็น อาจถึง ที่สุดแห่งโลกนั้น ด้วยการไป
ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้
ที่ยังประกอบด้วยสัญญาและใจนี่เอง,เราได้บัญญัติโลก
เหตุให้เกิดโลก
ความดับสนิทไม่เหลือของโลก
และทางดำเนินให้ถึงความดับสนิทไม่เหลือของโลกไว้

พระพุทธเจ้าสอนว่า..


มาแล้ววว 100 อันดับ โรงเรียนที่เก่งที่สุดในประเทศไทย

มาดูกันสิว่า โรงเรียนของเพื่อนๆ อยู่ลำดับที่เท่าไร ?
1. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
2. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
3. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
4. โรงเรียนบดิทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
5. โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย
6. โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จ.ลำปาง
7. โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จ.สงขลา
8. โรงเรียนสาธิต มศว.ปทุมวัน
9. โรงเรียนอัสสัมชัญ
10.โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
11.โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
12.โรงเรียนอุดรพิทยานุ จ.อุดรธานี
13.โรงเรียนสตรีวิทยา
14.โรงเรียนเทพศิรินทร์
15.โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จ.อุบลราชธานี
16.โรงเรียนสาธิต ม.เชียงใหม่
17.โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่
18.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.นครศรีธรรมราช
19.โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จ.เชียงราย
20.โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
21.โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
22.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
23.โรงเรียนนครสรรค์
24.โรงเรียนหอวัง
25.โรงเรียนวัดสุทธิวราราม
26.โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
27.โรงเรียนสุราษฎร์ธานี
28.โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน จ.ขอนแก่น
29.โรงเรียนสตรีวิทยา 2
30.โรงเรียนพิริยาลัย จ.แพร่
31.โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย
32.โรงเรียนสาธิต ม.ขอนแก่น
33.โรงเรียนพรหมานุสรณ์ จ.เพรชบุรี
34.โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย
35.โรงเรียน(ขออภัยค่ะ! คำนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ)ราชวิทยาลัย จ.ตรัง
36.โรงเรียนสาธิต ม.สงขลานครินทร์ จ.ปัตตานี
37.โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว
38.โรงเรียนโยธินบูรณะ
39.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี
40.โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
41.โรงเรียนจักรคำคณาทร จ.ลำพูน
42.โรงเรียนนารีรัตน์ จ.แพร่
43.โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
44.โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จ.นนทบุรี
45.โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จ.ขอนแก่น
46.โรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา
47.โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง จ.ยะลา
48.โรงเรียนศึกษานารี
49.โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จ.พิษณุโลก
50.โรงเรียนสาธิต มศว.ประสานมิตร
51.โรงเรียนสตรีศรีน่าน จ.น่าน
52.โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย จ.ร้อยเอ็ด
53.โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี
54.โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์
55.โรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา
56.โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม จ.บุรีรัมย์
57.โรงเรียนอัสสัมชัญสมุทรปราการ
58.โรงเรียนสิรินธร จ.สุรินทร์
59.โรงเรียนราชวิทยาลัย จ.สตูล
60.โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์
61.โรงเรียนสกลราชวิทยานุล
62.โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี 2 )
63.โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย
64.โรงเรียนชลราษฎร์อำรุง
65.โรงเรียนดาราวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
66.โรงเรียนพัทลุง
67.โรงเรียนพิษณุโลกวิทยาคม
68.โรงเรียนลำปางกัลยาณี จ.ลำปาง
69.โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย
70.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ บดินทรเดชา (บดินทรเดชา 3 )
71.โรงเรียนสุรวิทยาคาร จ.สุรินทร์
72.โรงเรียนเซนต์โยแซฟคอนแวนต์
73.โรงเรียนบูรณะรำลึก จ.ตรัง
74.โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม
75.โรงเรียนสารคามวิทยาคม จ.มหาสารคาม
76.โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี
77.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
78.โรงเรียนระยองวิทยาคม
79.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.จันทบุรี
80.โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม
81.โรงเรียนทวีธาภิเศก
82.โรงเรียนชลกันยานุล
83.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎนครปฐม
84.โรงเรียนมารีย์วิทยา จ.นครราชสีมา
85.โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย
86.โรงเรียน(ขออภัยค่ะ! คำนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ)ราชวิทยาลัย จ.มุกดาหาร
87.โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม
88.โรงเรียนสายน้ำผึ้ง
89.โรงเรียนเบญจมราชาลัย
90.โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช จ.นครศรีรรมราช
91.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎพระนครศรีอยุธยา
92.โรงเรียนเบญจมเทพอุทิศ จ.เพชรบุรี
93.โรงเรียนศรียาภัย จ.ชุมพร
94.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ หอวัง นนทบุรี
95.โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จ.อุดรธานี
96.โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี
97.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช
98.โรงเรียนสาธิต(พิบูลบำเพ็ญ) ม.บูรพา
99.โรงเรียนวิสุทธังษี จ.กาญจนบุรี
100.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้

บริหารดวงตา

การดูแลความสะอาดหนึ่งในอวัยวะแสนสำคัญที่หนุ่มๆ และสาวๆ มักจะใช้งานหนักอย่างไม่รู้ตัวในชีวิตประจำวันอย่าง “ดวงตา” นั้น มีอยู่มากมายหลายวิธี แต่ว่าแค่การดูแลความสะอาดนั้นอาจจะไม่เพียงพอ หนุ่มๆ ควรจะต้องทำการผ่อนคลาย หรือให้ดวงตาได้พักผ่อนด้วยนะครับ


นอกจากการจ้องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ แล้ว การที่หนุ่มๆ ชอบเล่นเกมส์ หรือแชทในมือถือก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ “ดวงตา” เกิดอาการเหนื่อยล้าได้ วันนี้ “พี่กิต” ก็เลยมี “วิธีการบริหารดวงตา” ที่ทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง มาให้หนุ่มๆ ได้ลองทำ และนำไปแชร์ให้เพื่อนๆ ได้ดูกันด้วยนะครับ



เริ่มจากท่าที่ 1 นั่งในท่าสบายๆ หลับตาลง แล้วก็สูดลมหายใจเข้าช้าๆ ส่งจิตไปรู้สึกที่ดวงตา หายใจออกช้าๆ ลืมตาขึ้น ทำสลับกัน 8 ครั้ง ซึ่งการทำเช่นนี้จะไปช่วยกระตุ้นให้น้ำตาหล่อเลี้ยงลูกตาของหนุ่มๆ ได้ดียิ่งขึ้น

ท่าที่ 2 หน้านิ่งตรง เหลือบตาขึ้นมองเพดาน - เหลือบตามองลงพื้น ทำสลับไปมา 5 รอบแล้วหลับตาลง

ท่าที่ 3 หน้านิ่งตรง เหลือบตามองขึ้น - ลงในแนวเฉียง โดยมองไปทางหางคิ้วขวา - โหนกแก้มซ้าย สลับไปมา 5 รอบแล้วหลับตาลง

ท่าที่ 4 หน้านิ่งตรง เหลือบตามองขึ้น - ลงในแนวเฉียง โดยมองไปทางหางคิ้วซ้าย-โหนกแก้มขวา สลับไปมา 5 รอบแล้วหลับตาลง

ท่าที่ 5 หน้านิ่งตรง ยกนิ้วโป้งขึ้น แขนเหยียดตรงไปข้างหน้า ให้สายตาของหนุ่มๆ ได้ปรับโฟกัสโดยมองที่ปลายจมูกก่อน > มองไปที่นิ้วหัวแม่โป้ง > มองเลยไปข้างหน้าประมาณ 10 เมตร > มองที่นิ้วหัวแม่โป้ง > มองปลายจมูก หนุ่มๆ ก็มองเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 5 รอบ แล้วหลับตาลง

ขั้นตอนสุดท้าย ใช้นิ้วกลางของหนุ่มๆ ทั้งสองข้างกดเบาๆ ที่เบ้าตา เริ่มที่หัวคิ้ว กดไล่ออกไปทางหางตาจนรอบดวงตา จากนั้นก็จบการบริหารดวงตาโดยถูฝ่ามือทั้งสองข้างไปมาประมาณ 15-20 ครั้ง หรือจนรู้สึกว่ามีความอุ่นเกิดขึ้นที่ฝ่ามือ แล้ววางฝ่ามือไปที่ดวงตาทั้งสอง โดยให้บริเวณฐานมืออยู่ที่ดวงตา หายใจเข้าช้าๆ ส่งจิตไปรู้สึกที่ดวงตา หายใจออกช้าๆ ลืมตาขึ้น



Tips for Eye Health

1. สำหรับหนุ่มๆ ที่สวมคอนแทคเลนส์
ก่อนเริ่มการบริหารดวงตาทุกครั้ง ต้องถอดคอนแทคเลนส์ออกก่อน

2. ก่อนเริ่มการบริหารดวงตา
ควรล้างหน้า และมือให้สะอาด เพื่อความสดชื่น และความสะอาด

3. การรับประทานกล้วยเป็นประจำ จะช่วยลดอาการตาแห้งได้
เพราะโพแทสเซียมที่มีอยู่มากในกล้วย จะทำงานร่วมกับโซเดียม และจะช่วยปรับความสมดุลของน้ำในร่างกายให้หนุ่มๆ จึงมีผลดีกับน้ำตาหล่อเลี้ยงดวงตา

4. ระหว่างทำงาน
ควรพักสายตาโดยการละสายตาจากหน้าจอไปที่ต้นไม้เขียวๆ หรือมองไปที่จุดอื่นสัก 5 นาที

5. คนที่ใช้คอนแทคเลนส์ และมีปัญหาตาแห้ง
ควรสลับมาใช้แว่นบ้าง และเลือกใช้คอนแทคเลนส์ที่มีค่าอมน้ำสูง

ตะลึง! แม่น้ำแยงซีกลายเป็นสีแดง ตรงกับไบเบิล บทที่ 16 โยงสัญญาณวันสิ้นโลก




เมื่อวานนี้ (8 กันยายน) มีรายงานข่าวว่า หลังจากแม่น้ำแยงซี ที่ไหลผ่านเมืองฉงชิ่ง ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ได้กลายเป็นสีแดง โดยเป็นทางน้ำที่ไหลบรรจบพบกับแม่น้ำเจียลิน ขณะที่เจ้าหน้าที่ทางการกำลังสอบสวนหาสาเหตุของสถานการณ์ดังกล่าว โดยผู้คนต่างบอกว่ารู้สึกตะลึงเมื่อเก็บตัวอย่างของน้ำจากแม่น้ำดังกล่าวลงในขวด ซึ่งเห็นเป็นสีแดงราวกับเลือด

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า เหตุการณ์นี้คล้ายกับแม่น้ำเจียน ในเมืองหลิวหยาง ในมณฑลเฮอหนาน ทางตอนเหนือของจีน ซึ่งกลายเป็นสีแดง หลังจากได้รับมลพิษจากสีย้อมผ้าที่่รุนแรง โดยถูกทิ้งจากจากโรงงานย้อมผ้าผิดกฎหมาย และทำให้ทางการต้องเข้าปิดโรงงานดังกล่าวและยึดเครื่องจักร

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ปรากฎการณ์นี้ดูเหมือนจะคล้ายกับเนื้อหาในพระคัมภีร์ไบเบิลบทที่ 16 ที่ระบุถึงสัญญาณของวันสิ้นโลกว่า เทวดาจะโยนบาปลงสู่แม่น้ำต่าง ๆ และทำให้แม่น้ำกลายเป็นสีเลือด

เทคนิคการเดาข้อสอบอย่างเทพ


1) ตัดช้อยส์
เป็นเทคนิคเมื่อโบราณกาลนานมาแล้ว เป็นเทคนิคคลาสสิคที่ใครๆ เค้าทำกัน คือ ตัดตัวเลือกที่ดูไม่น่าเกี่ยวข้อง หรือ ไม่ใช่แน่ๆ ออกไป เพราะข้อสอบแต่ละข้อก็จะมีบ้างที่น้องๆ สามารถรู้ว่าช้อยส์นี้ไม่ใช่ ดังนั้น ตัดออกไป ถ้าตัดไดถึง 2 ข้อจะดีมาก เพิ่มโอกาสถูกให้เรา 50 - 50% เลยทีเดียว กลับกันหากเราเดาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ตัดช้อยส์โอกาสถูกจะมีเพียง 25% หรือ 1 ใน 4 เท่านั้น

2) ข้อที่ทำไม่ได้ ให้ข้ามไปก่อน
บางข้อคิดหัวแทบแตกก็ไม่ได้คำตอบ ตัดช้อยส์ก็ไม่ได้ แนะนำให้ข้ามข้อนี้ไปก่อนเลย แล้วค่อยกลับมาทำทีหลังโดยใช้เทคนิคอื่นเข้าช่วย อย่าดันทุรังฝืนทำต่อไป เพราะจะเสียเวลาโดยใช่เหตุ ลองคิดดูว่าฝืนคิดข้อละ 1 นาที 20 ข้อ เท่ากับเราเสียเวลาแบบไม่ได้คำตอบไป 20 นาทีเชียวนะ

3) "ไม่มีข้อใดถูก" มักเป็นตัวเลือกหลอก
ในคำถามที่เน้นการวิเคราะห์และความจำที่ช้อยส์จะยาวเป็นพิเศษ และมักจะมีช้อยส์ "ไม่มีข้อใดถูก" อยู่ด้วย แนะนำว่าถ้ามีช้อยส์นี้ขึ้นมาให้ตัดออกไปได้เลย เพราะการคิดช้อยส์ให้ผิดยากกว่าคิดช้อยส์ให้ถูกนะคะ ที่สำคัญคือ ถ้าตั้งโจทย์มาแล้วแต่ไม่มีข้อถูกในนั้น นักเรียนก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไร เรียกว่าเป็นช้อยส์ที่เกิดมาเพื่อหลอกโดยเฉพาะ ยกเว้นแต่ว่าอาจารย์คนนั้นเป็นที่ขนานนามกันว่าเดาแนวข้อสอบยาก อะไรก็เกิดขึ้นได้!!
ส่วนตัวเลือก "ถูกทุกข้อ" อันนี้ค่อยมีโอกาสเป็นไปได้ แต่น้องๆ ควรอ่านโจทย์ให้ครบทุกข้อซะก่อน สิ่งที่ต้องดูคือ เนื้อหาในช้อยส์มีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ ขัดแย้งกันเองหรือไม่ เป็นต้น
แต่ถ้าเกิดมีตัวเลือก "ไม่มีข้อใดถูก" กับ "ถูกทุกข้อ" พร้อมกัน ไม่น่าจะมีโอกาสเป็นไปได้ค่ะ สามารถดูช้อยส์ 2 ข้อที่เหลือแล้วเลือกตอบได้เลย

4) คำตอบที่แย้งกันเอง มักจะมีข้อใดข้อหนึ่งถูก
ลองสวมบทบาทคนออกข้อสอบดู เมื่อใส่คำตอบที่ถูกไปแล้ว พอคิดคำตอบที่ผิดขึ้นมาก็มักจะสร้างคำตอบที่ตรงกันเอาไว้ก่อน เรียกว่าเป็นช้อยส์คู่ขนาน เช่น คำตอบที่ลงท้ายว่า "มากขึ้น - ลดลง" เป็นต้น อยู่ที่ว่า 2 ช้อยส์ที่ตรงข้ามกันนั้นเราจะรู้คำตอบมั้ย

5) ช้อยส์ที่มีความหมายเหมือนกัน ตัดทิ้งได้เลย
ตรงกันข้ามกับคำตอบที่แย้งกันอันนั้นให้เก็บไว้และเลือกคำตอบที่ถูกต้อง ส่วนช้อยส์ที่มีเนื้อหาหรือความหมายเหมือนกันให้ตัดทิ้ง เพราะถ้าข้อนึงถูก อีกข้อนึงก็ต้องถูก ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ เช่น
ข้อใดคือประโยชน์ของวิตามินเอ?
ก.บำรุงสายตา
ข.บำรุงกระดูก
ค.บำรุงฟัน
ง.ป้องกันหวัด
อันนี้เป็นตัวอย่างคร่าวๆ ที่อยากให้น้องๆ เห็นภาพ สมมติว่าข้อนี้น้องๆ ไม่รู้คำตอบเลย ก็ลองดูที่ช้อยส์จะเห็นว่า จริงๆ แล้วกระดูกและฟันมันก็คล้ายๆ กัน ถ้าเกิดมันต้องตอบฟัน กระดูกก็จะต้องตอบด้วย เพราะฉะนั้นจะแยกกันไม่ได้ ดังนั้นตัดออกได้เลยทั้งสองช้อยส์ก็จะเหลือข้อ ก) และ ง) ที่เหลือก็ต้องตัดช้อยส์กันต่อไป ถ้าไม่ได้ต้องเดาต่อ

6) ทิ้งดิ่ง
เมื่อลองทุกวิถีทางมาแล้ว เชื่อว่าจะเหลือข้อที่ทำไม่ได้ประมาณ 10% ถ้ามากกว่านี้ต้องสงสัยแล้วล่ะว่าได้อ่านหนังสือมาบ้างมั้ยเนี่ย ฮ่าๆ เอาล่ะ เมื่อข้อที่เหลือไม่สามารถตัดช้อยส์ได้ ก็ให้ทิ้งดิ่ง โดยมีหลักการเลือกข้อที่จะทิ้งดิ่งว่า ต้องเป็นข้อที่มีคำตอบน้อยที่สุด เช่น ข้อสอบ 100 ข้อ เหลือข้อที่ตอบไม่ได้ 12 ข้อ ข้อ ก) มี 21 ข้อ ข)มี 14 ข้อ ค)มี 27 ข้อ ง) 26 ข้อ จะเห็นได้ว่า ข้อ ข) มีคำตอบน้อยที่สุด เพราะฉะนั้น 12 ข้อที่เหลือให้ทิ้งดิ่ง เทกระจาด ตลาดแตกที่ข้อ ข) ได้เลย

คำถามที่เกิดขึ้นคือ แล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าอาจารย์จะออกข้อสอบแบบเฉลี่ยคำตอบให้เท่ากันทุกข้อ ในความเป็นจริงอาจารย์คงไม่ได้จัดให้เท่ากันเป๊ะๆ หรอกค่ะ แต่เราได้ทำข้อที่มั่นใจมากและเกือบมั่นใจไปจนเกือบหมดแล้ว แต่คำตอบในบางข้อก็ถูกกาน้อยซะเหลือเกิน จะให้เราไปทิ้งดิ่งในข้อที่คำตอบเยอะแล้วก็คงจะไม่ใช่ ดังนั้นแบบนี้แหละที่เพิ่มโอกาสได้คะแนนมากกว่า.... ถึงอาจารย์บางท่านจะไม่ได้ยึดหลักเฉลี่ย 25 เท่ากัน แต่ก็เชื่อว่ามีหลายท่านนะคะที่ยังใช้หลักนี้อยู่^^

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

พาราเซตามอล ยาสามัญที่ต้องระวัง

พาราเซตามอล ยาสามัญที่ต้องระวัง
โดย แพทย์หญิง ประพิมพ์พร ฉัตรานุกูลชัย แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ และโภชนวิทยาทางคลินิก โรงพยาบาลบีเอ็นเอช

พาราเซตามอลเป็นยาแก้ปวด และลดไข้ที่คนไทยนิยมใช้กันมากที่สุด เนื่องจากเชื่อว่าปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง จริงอยู่ที่พาราเซตามอลมีข้อดีที่ไม่ระคายเคืองกระเพาะ แต่แท้จริงแล้วพาราเซตามอลมีผลข้างเคียงที่อันตรายที่สุด คือ การเกิดพิษต่อตับ หากใช้เกินขนาดหรือใช้ติดต่อกันนานเกินไป

ภาวะเป็นพิษต่อตับจากยาพาราเซตามอลนั้น เกิดได้ทั้งจากความตั้งใจรับประทานยาเกินขนาดเพื่อทำร้ายตัวเอง ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า การรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาดเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดตับอักเสบเฉียบพลัน และเกิดภาวะตับวาย ซึ่งอาการอาจรุนแรงถึงขั้นต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนตับ หรือเสียชีวิต หากไปรับการรักษาไม่ทันท่วงที

ส่วนผู้ป่วยกลุ่มที่เกิดภาวะเป็นพิษต่อตับโดยความไม่ตั้งใจนั้น พบได้บ่อยในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยส่วนหนึ่งไม่ทราบว่า กำลังทำร้ายตัวเองด้วยการรับประทานยาแก้ปวดที่มีผลทำร้ายตับต่อเนื่องเป็นเวลานาน การรับประทานยาพาราเซตามอลเป็นเวลานาน แม้ว่าจะรับประทานไม่เกินขนาดที่แนะนำ แต่ถ้ารับประทานต่อเนื่องเป็นเวลานานก็มีโอกาสที่จะเกิดตับอักเสบได้เช่นเดียวกัน ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะไปรับการรักษาช้า เนื่องจากไม่ตระหนักถึงพิษภัยที่อาจเกิดขึ้นได้จากการรับประทานยาพาราเซตามอลเป็นเวลานาน



เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2554 องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. Food and Drug Administration หรือ USFDA) ได้ออกประกาศให้บริษัทยาที่ผลิตยาแก้ปวดสูตรผสมที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ ให้ลดปริมาณยาพาราเซตามอลลงจากเดิม จากขนาด 500 มิลลิกรัมต่อเม็ดเป็น 325 มิลลิกรัมต่อเม็ด เพื่อลดความเสี่ยงของผู้บริโภคในการที่จะได้รับปริมาณยาพาราเซตามอลเกินขนาด และลดความเสี่ยงที่จะเกิดพิษต่อตับ นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้ระบุถึงผลข้างเคียงของยาพาราเซตามอล ที่ฉลากยาให้ชัดเจนว่า "ยามีผลทำให้เกิดพิษต่อตับอย่างรุนแรงได้" นอกเหนือจากผลข้างเคียงอื่นที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการแพ้ยาหรือผื่นคัน

แม้ว่ายาพาราเซตามอลจะเป็นยาแก้ปวดลดไข้ที่มีประโยชน์ แต่หากใช้ผิดวิธีก็อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ จึงต้องระมัดระวังในการใช้ยา และหากอาการไม่ดีขึ้นหลังรับประทานยา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุเสมอ





ข้อควรระวังที่ควรทราบเกี่ยวกับยาพาราเซตามอล คือ ไม่ควรรับประทานเป็นประจำต่อเนื่องเป็นเวลานาน และไม่ควรรับประทานยาพาราเซตามอลเกินวันละ 4 กรัม ในประเทศไทยซึ่งยามักจะอยู่ในรูปแบบเม็ดละ 500 มิลลิกรัม คือ รับประทานได้ไม่เกิน 8 เม็ดต่อวัน และไม่เกิน 1-2 เม็ดต่อครั้ง (ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 50 กิโลกรัมควรรับประทานพาราเซตามอลครั้งละ 1 เม็ดเท่านั้น)

นอกจากนี้ไม่ควรดื่มสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ขณะที่รับประทานยาพาราเซตามอล ส่วนผู้ป่วยที่มีโรคตับเรื้อรัง ตับแข็ง หรือดื่มสุราเป็นประจำจะมีความเสี่ยงในการเกิดพิษต่อตับง่ายกว่าคนปกติ จึงควรงดเว้นการรับประทานพาราเซตามอล หรือหากจำเป็นจริง ๆ ก็ควรรับประทานให้น้อยที่สุด

ข้อควรระวังอีกอย่างคือ มียาสูตรผสมเป็นจำนวนมากที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ เช่น ยาแก้ไข้หวัด ยาแก้ปวดเมื่อย ยาคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งยาสูตรผสมเหล่านี้ หากนำมารับประทานร่วมกันโดยไม่ทราบว่ามีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ เช่น รับประทานยาแก้ไข้หวัดพร้อม ๆ กับยาคลายกล้ามเนื้อ จะทำให้ได้รับยาเกินขนาด และเกิดตับอักเสบ หรือตับวายเฉียบพลันได้ ดังนั้น ก่อนรับประทานยาทุกชนิดจึงควรอ่านฉลากยาให้ละเอียดเสมอ ถ้าไม่แน่ใจว่ายามีส่วนประกอบของพาราเซตามอลหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนบริโภคยาทุกครั้ง

อายุมากขึ้น เมนส์มาไม่หยุด เพราะอะไรกันนะ?


คำถาม

ดิฉันอยากจะถามปัญหาเกี่ยวกับตัวเองบ้าง คือมีคนรู้จักที่อายุประมาณ เกือบ ๆ 40 ต้องไปขูดมดลูก เพราะผนังมดลูกหนา เขาบอกว่าเมนส์มาไม่หยุด ก็เลยสงสัยว่าผู้หญิงที่อายุมากขึ้นเป็นอย่างนี้กันมากหรือ สำหรับตัวดิฉันเองจากที่เมนส์เคยมาเป็นปกติ ตอนนี้มาเดือนละ 2 ครั้ง ในปริมาณเท่าเดิม อย่างนี้ผิดปกติไหม ตอนนี้ดิฉันอายุ 45 แล้วค่ะ

คำตอบ

ผู้หญิงบางคนเมื่ออายุมากขึ้น รังไข่จะทำงานในการผลิตไข่ที่สมบูรณ์น้อยลงตามธรรมชาติ และในบางรายอาจไม่เกิดการตกไข่ตามปกติด้วยก็ได้ ในกรณีที่ไม่มีการตกไข่นั้น เยื่อบุในโพรงมดลูกก็จะหนาตัวขึ้น และไม่ค่อยจะหลุดลอกออกมาเป็นเลือดประจำเดือน โดยทิ้งไว้เป็นเวลานานกว่าจะหลุดลอกออกมา

เมื่อเป็นดังนี้แล้วจึงเกิดภาวะที่เรียกว่า เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติขึ้น และเมื่อเยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาตัวผิดปกติดังกล่าวหลุดออกมาจึงเป็นเลือดประจำเดือนที่มีจำนวนมาก

การรักษา ทำโดยการขูดมดลูก เพื่อให้โพรงมดลูกสะอาด และไม่มีเยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาผิดปกติตกค้างอยู่ตลอดไป จากนั้นจะต้องให้การดูแลรักษาไม่ให้เกิดภาวะดังกล่าว ซึ่งอาจจะทำได้โดยการให้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนทุก ๆ ครึ่งเดือน ก็จะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกลอกออกมาเป็นปกติได้ หรือแพทย์อาจจะสั่งยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดรวมที่มีปริมาณต่ำลงมาให้รับประทาน เพื่อป้องกันเยื่อบุมดลูกหนาและทำให้มีเลือดประจำเดือนออกน้อยลง

ส่วนการที่คุณเริ่มมีประจำเดือนเปลี่ยนไปก็น่าจะเป็นเพราะรังไข่ทำงานลดลงเช่นกัน ตามอายุที่ย่างเข้า 45 ปีแล้ว ควรจะไปตรวจภายในและเช็คมะเร็งเป็นประจำทุกปีด้วย

รู้ไหม? ทำอะไร 2 อย่างพร้อมกัน ทำสมองตอบสนองช้า


ในยุคที่ชีวิตประจำวันของคนเราเต็มไปด้วยเทคโนโลยีสารพัดที่พกติดตัวไปได้ทุกที่ทุกเวลา การทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ดูจะเป็นสิ่งที่พบเห็นกันได้ทั่วไป และหลายคนก็คิดว่าการทำอะไรหลาย ๆ อย่างไปพร้อม ๆ กันนี้ เป็นการใช้เวลาที่มีอย่างคุ้มค่าที่สุด แต่หากได้ลองมาดูข้อมูลน่าสนใจที่เรานำมาฝากกันวันนี้แล้ว เห็นทีว่าต้องปรับความคิดเสียใหม่ เพราะจริง ๆ แล้ว การทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกันนั้น เป็นการลดประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมทุกอย่างอย่างไม่รู้ตัว (หรืออาจรู้ตัวแต่ไม่สนใจก็ได้)

ข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เมื่อเราทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันนี้ จัดทำขึ้นโดยเว็บไซต์ออนไลน์คอลเลจ ซึ่งเป็นข้อมูลที่สกัดจากงานวิจัยหลายชิ้นว่าด้วยเรื่องการทำงานของสมองขณะมนุษย์ทำอะไรมากกว่า 1 อย่างไปพร้อม ๆ กัน โดยระบุว่า มีคนเพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่จะมีความสามารถทำกิจกรรม 2 อย่างพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนอีก 98 เปอร์เซ็นต์นั้น ประสิทธิภาพในการทำทุกอย่างจะลดลง 40 เปอร์เซ็นต์ และไอคิวก็จะลดลงอีก 10 แต้มด้วย ส่งผลให้สมองคนเราตอบสนองอะไรได้ช้าลง ทำอะไรได้ช้าลง

รายงานระบุว่า ปัจจุบัน 89 เปอร์เซ็นต์ของผู้คนวัยทำงานชาวอเมริกันที่มีโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ใช้โทรศัพท์ของตัวเองขณะทำงานไปด้วย และโดยเฉลี่ยแล้ว ผู้คนกลุ่มนี้ จะถูกรบกวนสมาธิในการทำงานทุก ๆ 10.5 นาที จากการให้ความสนใจกับโทรศัพท์ของพวกเขาเอง

ทีนี้มาดูการใช้เทคโนโลยีในการเรียนของวัยนักศึกษากันบ้าง งานวิจัยได้เปิดเผยว่า ในกรณีที่นักศึกษานำคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปไปใช้ระหว่างการเรียน พวกเขาจะเปิดเว็บไซต์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เรียนถึง 62 เปอร์เซ็นต์ของเว็บไซต์ที่พวกเขาเปิดทั้งหมด และถ้าหากจะคิดจากการเรียนใน 1 วิชาแล้ว นักศึกษาจะเปิดหน้าเว็บเพจเฉลี่ยถึง 65 หน้าเลยทีเดียว

สำหรับกิจกรรมเบา ๆ ที่ทำในช่วงเวลาพักผ่อนก็เช่นกัน งานวิจัยพบว่า ชาวอเมริกันจำนวนมาก มักจะทำกิจกรรมอีกอย่างหนึ่งควบคู่ไปกับการดูโทรทัศน์ โดยชาวอเมริกัน 42 เปอร์เซ็นต์ ท่องเว็บไซต์ไปด้วย, 29 เปอร์เซ็นต์ คุยโทรศัพท์ไปด้วย, และ 26 เปอร์เซ็นต์ คุยแชทในโทรศัพท์ไปด้วย ขณะที่พวกเขากำลังดูโทรทัศน์

และในยุคที่โทรศัพท์สมาร์ทโฟนเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ขาดไม่ได้ในทุกวันนี้ พบว่าชาวอเมริกันกว่า 67 เปอร์เซ็นต์ เล่นอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ ขณะที่พวกเขากำลังเดินเที่ยวกับคู่รัก, 45 เปอร์เซ็นต์ เล่นอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือในโรงหนัง, และ 33 เปอร์เซ็นต์ หยิบมือถือขึ้นมาท่องอินเทอร์เน็ต ขณะกำลังอยู่ในโบสถ์เลยทีเดียว

จากข้อมูลดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีมีอิทธิพลกับชีวิตประจำวันของคนเราเป็นอย่างมาก และทำให้คนเราทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกันมากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีสมาร์ทโฟน ที่มักจะถูกหยิบขึ้นมาเล่นระหว่างทำอย่างอื่นไปด้วยเสมอ ซึ่งนั่นอาจทำให้ใครหลายคนคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้พร้อม ๆ กัน แต่จากงานวิจัย ระบุว่า การใช้โทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะใช้ในเรื่องของการเล่นอินเทอร์เน็ต หรือพูดคุย ทำให้ไอคิวของคนเราลดลงกว่า 10 แต้ม เทียบเท่ากับไอคิวหลังอดหลับอดนอนเลยทีเดียวเชียว และกรณีที่ใช้โทรศัพท์ระหว่างขับรถไปด้วยก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่ว่าคุณจะใช้บลูทูธ หรือสมอลทอล์ค สมาธิในการขับรถของคุณก็จะลดลง ความสามารถในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนถนนก็ช้าลงเช่นกัน

แค่ปรับเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็ดีขึ้นเห็น ๆ

1. รู้จักยอมรับความผิดพลาด

ไม่มีใครในโลกนี้หรอกที่เกิดมาไม่เคยทำผิดอะไรเลย และความผิดพลาดก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่คุณคิดด้วย เพราะแม้ว่ามันจะทำให้คุณเสียความมั่นใจไปสักนิด แต่ความผิดพลาดก็เป็นประสบการณ์ดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณได้เรียนรู้มากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณรู้จักควบคุมสติเพื่อแก้ไขปัญหา จนกลายเป็นคนที่เข้มแข็งมากขึ้นอีกด้วย คุณจึงไม่ควรลังเลที่จะยอมรับความผิดของตัวเองเด็ดขาด

2. กล้าที่จะเสี่ยง

เข้าใจดีว่าความเสี่ยงอาจเป็นเรื่องน่ากลัวในสายตาของหลาย ๆ คน แต่ถ้าคุณไม่กล้าที่จะทำอะไรเลย ชีวิตก็คงหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่มีวันพัฒนาไปไหนได้หรอก เพราะฉะนั้นคุณจึงควรกล้าที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในชีวิตบ้าง แม้ว่าบางครั้งอาจต้องเสี่ยงไปบ้างก็ตาม เพราะต่อให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมา ก็ยังจะดีซะกว่าที่จะต้องมาเสียใจทีหลังจากการที่ตัวเองไม่ได้ลองพยายามทำอะไรเลย

3. หันมามองโลกในแง่บวก

หากคุณเป็นคนที่รู้จักมองโลกในแง่ดี ชีวิตของคุณก็จะมีความสุขมากขึ้นอีกเยอะ เพราะต่อให้เจอเรื่องร้าย ๆ แค่ไหน คุณก็จะไม่เครียดมากนัก และมีสติพอที่จะมองหาข้อดีของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เอง ทำให้การแก้ไขปัญหาเร็วขึ้นตามไปด้วย ผิดกับคนที่มองโลกในแง่ร้ายที่จะทำให้เรื่องยิ่งดูแย่ลงไปอีก จนกลายเป็นคนไม่มีความสุขและทำให้ชีวิตเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก แบบนี้แล้วจะทำตัวเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายให้ชีวิตแย่ลงต่อไปอีกทำไมกันล่ะ



4. เลิกนิสัยอยากเอาชนะ

นิสัยอยากเอาชนะนี่แหละ ที่ทำให้คนเราต้องล้มเหลวกันมามากแล้ว เพราะมัวแต่คิดว่าตัวเองจะต้องชนะเท่านั้น ถึงทำให้หลาย ๆ คนมักดันทุรังทำในสิ่งที่ล้มเหลวไปแล้วเพียงเพื่อเอาชนะคนที่ตัวเองเกลียดชังจนต้องสูญเสียอะไรไปหลาย ๆ อย่างโดยไม่จำเป็น ซึ่งการทำแบบนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย มีแต่จะทำให้คุณไม่มีความสุขและไม่พัฒนาไปไหนซะมากกว่า เพราะฉะนั้นเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับใคร และพยายามให้ดีที่สุดเท่าที่ตัวเราจะทำได้จะดีกว่า

5. ใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย

การมีจุดมุ่งหมายที่แน่ชัด จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตอย่างมีความหมายมากขึ้น เพราะตอนนี้คุณรู้แล้วว่าคุณพยายามทำงานไปเพื่ออะไร และรู้ว่าอีก 10 ปีข้างหน้าอยากให้ตัวเองในอนาคตเป็นอย่างไร จึงทำให้คุณมีไฟในการทำงานมากขึ้นและไม่รู้สึกเบื่อหน่ายอีกต่อไป ดังนั้น ถ้ายังไม่รู้ตัวว่าชอบอะไรก็ลองหางานอดิเรกใหม่ ๆ ทำเพิ่มดู จนกว่าจะเจอสิ่งที่เหมาะกับคุณนะคะ



6. รู้จักช่วยเหลือคนอื่น

เชื่อเถอะว่าการช่วยเหลือคนอื่นจะช่วยให้คุณรู้สึกดีกับตัวมากขึ้นอย่างที่คุณคาดไม่ถึงเลยล่ะ เพราะการทำตัวเป็นประโยชน์กับจะทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นมาอีกเยอะ ยิ่งไปกว่านั้นยังอาจช่วยให้ได้เพื่อนใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วยนะ ฉะนั้น คราวหน้าถ้าเจอคนที่ต้องการความช่วยเหลือแล้วคุณพอจะช่วยเขาได้ก็อย่าลังเลที่จะทำด้วยล่ะ

7. เลิกตัดสินคนอื่น

โลกนี้ไม่มีใครดีพร้อมไปซะทุกอย่างหรอก แม้แต่ตัวคุณเองก็เช่นกัน คุณจึงควรเลิกใช้ทิฐิของตัวเองตัดสินคนอื่นเสียที เพราะแม้ว่าเขาจะมีข้อเสียไปบ้าง เขาก็อาจมีข้อดีอย่างที่คุณคาดไม่ถึงเลยก็ได้ และถ้าคุณเปิดใจให้กว้างยอมรับคนอื่นให้มากขึ้น อาจช่วยให้คุณได้มีเพื่อนใหม่เพิ่ม และได้ขยายมุมมองความคิดให้กว้างขึ้นไปอีกอย่างที่คุณไม่คาดฝันเลยก็ได้นะ

8. เตรียมพร้อมรับสิ่งไม่คาดฝันตลอดเวลา

ชีวิตเรามีเรื่องไม่คาดฝันทุกวันนั่นแหละ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น บางวันคิดว่าฝนจะไม่ตกยังตกได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องที่หนักกว่านั้น เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างในเมื่ออนาคตไม่ใช่สิ่งแน่นอน เพราะฉะนั้นวิธีรับมือที่ดีที่สุดก็คือ เตรียมใจพร้อมรับสิ่งไม่คาดฝันเสมอนั่นเอง คุณจะได้มีสติมากพอที่จะแก้ไข แทนที่จะแตกตื่นจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อมีปัญหาเข้ามา



9. รักตัวเองและคนรอบข้างให้มากขึ้น

ไม่ว่าอย่างไรความรักก็เป็นสิ่งที่คนเราขาดไปไม่ได้หรอก เพราะถ้าไม่มีมันแล้ว ชีวิตก็คงจะแห้งเหี่ยวจืดชืดน่าดู คุณจึงควรเอาใจใส่ดูแลคนรอบข้างให้ดี เพื่อให้ความรักของคุณราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นความรักแบบคนรัก เพื่อน หรือครอบครัวก็ตาม และที่สำคัญต้องไม่ลืมที่จะรักตัวเองด้วย เพราะถ้าคุณไม่รักตัวเองแล้ว คงไม่มีวันรักใครได้เต็มที่หรอก

10. ไม่เสียใจในสิ่งที่่ผ่านไปแล้ว

สุดท้ายแล้ว คุณควรใช้ชีวิตทุกวันให้คุ้มค่า ไม่ให้ต้องรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว และไม่มีวันย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้อีก คุณควรจำไว้ว่าคนเราต้องเดินหน้าต่อไป และเก็บอดีตไว้เป็นบทเรียนเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่คอยตามมาหลอกหลอนตัวเองให้ไม่มีความสุข ซึ่งถ้าวันหนึ่งสามารถทำแบบนี้ได้เมื่อไหร่ก็จะช่วยให้คุณมีความสุขขึ้นมาได้เองนั่นแหละ

ผลวิจัยสวีเดนชี้ ผู้ชายทานช็อกโกแลตช่วยลดความเสี่ยงเกิดอัมพาตได้

คุณผู้ชายทั้งหลายที่ไม่ชอบทานช็อกโกแลตเอาเสียเลย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ตอนนี้ขอให้พวกคุณเปลี่ยนใจหันมาทานกันดีกว่าครับ เหตุเพราะมีผลการวิจัยจากประเทศสวีเดนเผยผลการทดลองออกมาให้ทราบว่า การรับประทานช็อกโกแลต ไม่ได้เพียงแค่ให้รสชาติแสนอร่อยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาต จากสาเหตุเส้นเลือดในสมองตีบได้อีกด้วย

เว็บไซต์เดอะมิเรอร์ ของอังกฤษ รายงานว่า มีผลงานวิจัยการค้นคว้าของนักวิจัยจากสถาบันคาโรลินสก้า (Karolinska Institute) ในเมืองสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ที่ได้นำอาสาสมัครชายชาวสวีเดน ที่มีช่วงอายุระหว่าง 49-75 ปี จำนวน 37,103 คน มาทำแบบสอบถามเกี่ยวกับการรับประทานอาหารต่าง ๆ ซึ่งได้ผลลัพธ์ออกมาว่า ผู้ชายที่ทานช็อกโกแลตประมาณ 63 กรัมต่อสัปดาห์ สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ที่เป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ได้ถึง 17 เปอร์เซ็นต์ และถ้าทานในระดับ 50 กรัมต่อสัปดาห์ ก็ยังช่วยลดอัตราเสี่ยงได้ถึง 14 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน



จากการเปิดเผยของด็อกเตอร์ ซูซานน่า ลาร์สสัน หัวหน้าทีมนักวิจัยดังกล่าว เผยให้ทราบว่า การรับประทานช็อกโกแลตนั้นมีประโยชน์มาก เนื่องจากมีสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ซึ่งเป็นสารที่อยู่ภายในเมล็ดโกโก้ ที่ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ โดยป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัว เสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดให้แข็งแรง และยังช่วยลดไขมันภายในเลือดและความดันโลหิตได้อีกด้วย จึงอาจกล่าวได้ว่า ฟลาโวนอยด์มีคุณค่าสูง เหมาะสำหรับป้องกันเรื่องโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี

จะเห็นได้ชัดเลยว่า ช็อกโกแลตมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราจริง ๆ แถมยังหาซื้อทานตามท้องตลาดได้ง่ายอีกด้วย อย่างไรก็ตาม คุณก็ไม่ควรทานช็อกโกแลตให้มากจนเกินไปโดยที่ไม่เลือกทานอย่างอื่นที่มีประโยชน์เลย เนื่องจากในช็อกโกแลตนั้นมีน้ำตาลมาก รวมทั้งไขมันอิ่มตัว และมีปริมาณแคลอรี่สูงอีกด้วย ซึ่งควรเลือกรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะจะดีกว่า พร้อมทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายเป็นประจำ รับรองเลยว่าจะช่วยเสริมสร้างร่างกายของคุณให้แข็งแรงยิ่งขึ้น และไม่มีโรคภัยไข้เจ็บใด ๆ มาเยือนอีกอย่างแน่นอน

วัยรุ่นมองมีเซ็กส์ในวัยเรียน ไม่ใช่เรื่องแปลก

ผลสำรวจพบ วัยรุ่นมองมีเซ็กส์เป็นการแสดงออกถึงความรักและความผูกพัน เกือบครึ่งเห็นว่า มีเซ็กส์ในวัยเรียนไม่ใช่เรื่องแปลก สธ. หวั่น ความเชื่อผิด ๆ ทำสถิติวัยรุ่นท้องไม่พร้อมพุ่ง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 6 กันยายน นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ทางกระทรวงได้ทำการสำรวจทัศนคติกลุ่มวัยรุ่น อายุ 13-17 ปี ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน เป็นชาย 208 คน และหญิง 192 คน เกี่ยวกับความรู้เรื่องการมีเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิด ซึ่งเป็นการสำรวจทางอินเทอร์เน็ต ระหว่างวันที่ 7 สิงหาคม - 5 กันยายน พ.ศ. 2555 พบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 45 มองว่า การมีเพศสัมพันธ์เป็นการแสดงความรักและความผูกพัน ขณะที่กลุ่มตัวอย่างเกือบครึ่งเห็นว่า การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนไม่ใช่เรื่องแปลก

นายแพทย์สุรวิทย์ ยังกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างยังเข้าใจเรื่องการคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง แต่ที่น่าห่วงก็คือ กลุ่มตัวอย่างประมาณ 1 ใน 3 เข้าใจว่า การหลั่งข้างนอกเป็นการคุมกำเนิดที่ปลอดภัย ขณะที่กลุ่มตัวอย่าง 1 ใน 4 กลับมองว่า เรื่องการคุมกำเนิดต้องเป็นหน้าที่ของผู้หญิงเท่านั้น ซึ่งความเชื่อนี้อาจทำให้วัยรุ่นไทยมีปัญหาจากการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร รวมทั้งเรื่องการตั้งครรภ์ได้ สอดคล้องกับสถิติการคลอดบุตรของวัยรุ่นหญิงไทยในขณะนี้ที่มีถึง 15 คนต่อชั่วโมง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อถามถึงนโยบายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว นายแพทย์สุรวิทย์ ชี้แจงว่า ได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการร่วมมือกัน จัดทำโครงการ "วัยรุ่นฉลาดรักรู้จักป้องกัน" ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการ "ลดโรค เพิ่มสุข วัยรุ่นไทย" เพื่อรณรงค์ให้วัยรุ่นคิดให้ดีก่อนทำ พร้อมกับสร้างความเข้าใจในเรื่องความรัก และเพศศึกษาที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม ซึ่งโครงการดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างเดือนสิงหาคม-ตุลาคมนี้ โดยนำร่องใน 12 โรงเรียนของกรุงเทพมหานคร

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

Baby

คำคมดีๆจากอาจารย์

เพราะฉันคือ มนุษย์คนหนึ่ง.. ชีวิตของฉันจึงมี "ขึ้นและลง" .. นี่คือ ธรรมชาติ.. เมื่อชีวิตของฉันเดินในจังหวะที่เรียกว่า "ลง".. ฉันจะรู้สึกเศร้า เสียใจ .. แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้ เพราะฉันเชื่อว่า วันหนึ่งข้างหน้า ชีวิตของฉันจะต้องเดินถึงจังหวะที่เรียกว่า "ขึ้น".. และแม้ชีวิตของฉันอยู่ในจังหวะที่เรียกว่า "ขึ้น".. ฉันจะรู้สึกดีใจ .. แต่ฉันก็จะไม่หลงระเริง เพราะฉันเชื่อว่า วันหนึ่งข้างหน้า ชีวิตของฉันจะต้องเดินถึงจังหวะที่เรียกว่า "ลง" อีกครั้ง... สิ่งที่จะช่วยให้ผ่านพ้นจังหวะชีวิต "ขึ้นและลง" นี้ได้ คือ "สติและปัญญา"

เช็ก ๔ นิสัยก่อนกลายเป็นคนช่างนินทา

เช็ก ๔ นิสัยก่อนกลายเป็นคนช่างนินทา


 


การพูดคำเท็จ ส่อเสียด นินทา ถือเป็นการผิดศีลข้อที่ 4 เรามารู้จัก 4 นิสัย พื้นฐานที่อาจทำให้คุณกลายเป็นคนช่างนินทา

1. ไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง
เกิดจากจิตใต้สำนึกสะสมความคิดว่า ตัวเองเป็นคนไม่ดี ไม่มีความสามารถ ทำให้ชอบจับผิดหรือพูดถึงความไม่ดีของคนอื่น
2. ขึ้ระแวง
เป็นคนที่ไม่มีความเชื่อถือศรัทธาในผู้คนด้วยกันไม่เชื่อมั่นในมิตรภาพ

3. จอมโกหก คนที่ชอบพูดโกหกมีแนวโน้มว่าจะเป็นคนช่างนินทาเพราะสามารถนำเรื่องที่ไม่เป็นความจริงมาเล่าเพื่อหาผลประโยชน์หรือสร้างความสนุกให้ตัวเอง

4. มองโลกในแง่ร้าย คนที่มองโลกในแง่ร้ายจะเห็นแต่ความไม่ดีของคนอื่น คนลักษณะนี้ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนช่างนินทา

คิดดี พูดดี ช่วยสร้างพลังบวกให้แก่ชีวิตและสังคมค่ะ

ชอปปิ้งวิทยา 101

ชอปปิ้งวิทยา 101

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางครั้งคุณช็อปแหลกเหมือนขาดสติ อาจไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก คุณแค่ไม่อาจขัดขืนอำนาจเชิงจิตวิทยาซึ่งแฝงมากับสารจากโทรทัศน์

เคยบ้างไหมที่ไปร้านโดยไม่คิดจะซื้ออะไร แต่สุดท้ายก็หิ้วของที่อดใจไม่ไหวจนพะรุงพะรังกลับมา คุณไม่ได้ละโมบ แต่กลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาดสามารถดึงแรงปรารถนาในส่วนลึกที่สุดของคุณออกมา

การโฆษณาแบบมุ่งขายอย่างเดียวเริ่มก่อนที่คุณจะเข้าห้างสรรพสินค้าเสียอีก นักโฆษณาใช้ทุกอย่างตั้งแต่การทำให้สินค้าปรากฏในภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ ไปจนถึงการรับรู้ผ่านจิตใต้สำนึกและเรื่องเพศเพื่อดึงดูดเราให้ซื้อสินค้า จิตใจที่ได้ซึมซับข้อมูลอันละเอียดอ่อนเมื่อไปถึงห้าง การดูดเงินในกระเป๋าก็เริ่มต้นอย่างจริงจัง การออกแบบผังร้านที่สับสนก็ทำโดยเจตนาเพื่อให้เราวนเวียนในห้างนานที่สุด กลิ่นหอมที่ให้อารมณ์ผ่อนคลายในวันหยุด เสื้อผ้าที่ตั้งโชว์ก็ยั่วยวนให้คุณอยากลูบไล้และอยากลองสวมใส่ เป็นไปได้น้อยมากที่คุณจะออกจากห้างมือเปล่า

"นักออกแบบร้านและห้างสรรพสินค้าวางผังเพื่อกำหนดเส้นทางสำหรับนักช็อป" อดัม เฟอเรียร์ นักจิตวิทยาผู้บริโภคในเมลเบิร์นอธิบาย เขายังเป็นหุ้นส่วนผู้ก่อตั้งเนกท์คอมมิวนิเคชันส์ กาสิโนคือผู้นำตัวจริงในเรื่องการออกแบบสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนเล่นการพนันติดแหง็กกับทางออกที่สับสน ไม่มีนาฬิกาให้ดู และอัดออกซิเจนเพิ่มเข้าไปให้คนตื่นตัวตลอดเวลา

"แม้ศูนย์การค้ายังไม่ทำถึงขนาดนั้น แต่เป็นที่รู้กันดีว่าซูเปอร์มาร์เก็ตจะวางผักผลไม้ไว้ด้านหน้าทางซ้ายมือของลูกค้า เพื่อให้พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้นกับการจับจ่ายแบบระห่ำที่อาจจะตามมา และเพื่อชักจูงให้เดินผ่านสินค้าให้มากที่สุดตลอดทางไปยังของใช้จำเป็นซึ่งจงใจวางไว้ด้านหลัง" เฟอเรียร์กล่าว กลิ่น (สังเคราะห์) ของขนมปังอบใหม่ที่กรุ่นกระจายอบอวลไปทั่วห้าง และการวางพื้นผิวสะท้อนแสงที่ดูล่อตามนุษย์อย่างเราๆ เช่นเดียวกับสัตว์อื่นๆ ทำให้ต้องซื้อทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อมาก่อนและสินค้าในตะกร้าก็เพิ่มขึ้นมาก

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสแกนสมองทำให้นักวิจัยได้ความรู้ใหม่ว่าทำไมเราจึงตอบสนองต่อสินค้าบางอย่าง และแม้ในขณะซื้อของที่ไม่จำเป็น เราก็ถูกผลักดันโดยแรงกระตุ้นพื้นฐานเรื่องความอยู่รอดและการสร้างเผ่าพันธุ์ ตัวอย่างเช่น รูปร่างของรถมินิคูเปอร์ที่ละม้าย ‘ใบหน้า’ ของเด็ก ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นของแม่ สำหรับผู้ชาย การได้ดูรถสปอร์ตแพงๆ ก็กระตุ้นส่วนของสมองที่เกี่ยวกับการได้รางวัลและความเข้มแข็ง เราก็เหมือนนกยูง สัญชาตญาณส่วนลึกที่สุดบอกว่า ผู้ชายที่มีปัญญาซื้อหาของไม่จำเป็นเช่นนั้นมาได้ต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จ






ประสบการณ์ด้านศาสนา

มีการอธิบายการชอปปิ้งอย่างเหยียดๆ ว่าเป็นศาสนาใหม่ที่มีห้างสรรพสินค้าเป็นโบสถ์ แต่กลายเป็นว่าความเห็นแง่ร้ายดังกล่าวถูกต้อง นั่นคือ การซื้อของอาจกลายเป็นประสบการณ์ด้านศาสนาได้จริงๆ

มาร์ติน ลินด์สตรอม ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและนักทำนายอนาคตแบรนด์สินค้าชาวเดนมาร์ก ใช้เวลาสามปีกับเงินเจ็ดล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 210 ล้านบาท) เพื่อค้นหาปุ่มปิดเปิด “การซื้อ” ในสมอง เขาทำงานร่วมกับนักประสาทวิทยาศาสตร์และอาสาสมัครกว่า 2,000 คนจากจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี และสหราชอาณาจักร เพื่อบันทึกความคิดในส่วนลึกสุดด้วยการสแกนจากเครื่องเอฟเอ็มอาร์ไอ ซึ่งเผยให้เห็นว่าสมองส่วนใดที่ตอบสนองต่อภาพและแบรนด์สินค้าบางอย่าง และเพราะเหตุใด

หนังสือของลินด์สตรอมชื่อ Buyology เล่ารายละเอียดที่น่าสนใจของผลการศึกษานี้ รวมทั้งบทบาทของพฤติกรรมของคนอื่นที่มีต่อการชอปปิ้งของเรา การเติบโตของวัฒนธรรมผู้บริโภคซึ่งเปลี่ยนทัศนคติจาก "ฉันด้วย" ไปสู่เอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้นนั้น มีส่วนทำให้นักช็อปชาวเอเชียเสพติดการซื้อเพื่อเพิ่มสถานภาพกันมากขึ้นกว่าสิบปีที่ผ่านมา ยิ่งมีการทำการตลาดที่ปลุกสำนึกเรื่องความเท่ ความเป็นเจ้าของ หรือความเย้ายวน จึงอธิบายได้ว่า ทำไมสินค้าบางแบรนด์เช่นไอโฟนของแอปเปิล จึงเป็นที่นิยม

ทั้งหมดนี้เกิดจากเซลล์ประสาทกระจกเงา ซึ่งเป็นเซลล์สมองที่กำกับให้เกิดความอิ่มเอมใจถาโถมอย่างรวดเร็วเมื่อพระเอกนักบู๊สังหารคนร้าย และความปลาบปลื้มเมื่อคิดว่าจะมีภาพลักษณ์ที่โดดเด่นหากซื้อเสื้อผ้าและของประดับเหมือนคนที่เราชื่นชอบ

เซลล์ประสาทกระจกเงาทำงานประสานกับโดปามีน ซึ่งเป็นสารเคมีแห่งความสุขในสมองที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเพศด้วย “เช่นเวลาที่คุณเห็นกล้องดิจิทัลที่แวววับ หรือต่างหูเพชรที่วูบวาบ โดปามีนที่หลั่งออกมาทำให้สมองจมอยู่กับความสุข กว่าจะรู้ตัว คุณก็เซ็นชื่อในใบเสร็จบัตรเครดิตแล้ว” ลินด์สตรอมกล่าวในหนังสือของเขา “ไม่กี่นาทีต่อมาเมื่อคุณออกจากห้างสรรพสินค้า ความอิ่มเอมใจจากโดปามีนเริ่มจางหาย จู่ๆ คุณก็สงสัยตัวเองว่าจะมีโอกาสใส่ต่างหูคู่นั้น หรือใช้กล้องที่ซื้อมาหรือเปล่า"

งานวิจัยของลินด์สตรอมยังพบว่า เมื่อคนมองภาพแบรนด์ดังอย่างแอปเปิล ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน หรือเฟอร์รารี กลับไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างปฏิกิริยาของสมองผู้ทดสอบที่มีต่อแบรนด์ดังกับภาพปูชนียบุคคลหรือปูชนียวัตถุทางศาสนา

“สินค้าและแบรนด์ทำให้เกิดความรู้สึกและความเกี่ยวพันโดยอาศัยรูปลักษณ์ การสัมผัส หรือกลิ่น” เขาเขียนไว้ พร้อมกับเสริมว่าสินค้าที่ประสบความสำเร็จคือสินค้าที่มีลักษณะคล้ายศาสนามากที่สุด อย่างเช่นแอปเปิล มีสำนึกที่แรงกล้าเรื่องพันธกิจและสาวกที่เลื่อมใส มีคู่แข่งที่ต้องกำจัด (ซึ่งก็คือไมโครซอฟท์) มีผู้นำที่ใครๆ เทิดทูนอย่างสตีฟ จ็อบส์ ผู้ล่วงลับ ซึ่งการแต่งกายเฉพาะตัวของเขายิ่งสนับสนุนความคิดนี้ และเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้อุทิศตน อาจถือได้ว่าโลโก้ของแอปเปิลเป็นเหมือนสัญลักษณ์ทางศาสนา ร้านคอนเซ็ปของแอปเปิลที่ออกแบบอย่างทันสมัยมีความอลังการเหมือนวิหาร ซึ่งเพิ่มความรู้สึกทางจิตวิญญาณแก่ผู้ชื่นชอบ สรุปง่ายๆ คือ ทุกคนอยากเป็นเจ้าของ






ช่องว่างทางวัฒนธรรมและทางเพศ

วัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญในการสร้างประสบการณ์การจับจ่าย และการชอปปิ้งในเอเชียก็แตกต่างจากการชอปปิ้งในยุโรปเป็นอย่างมาก กาย เฮิร์น ผู้อำนวยการของคอมมิวนิเคชั่นส์อินไซต์ในเครือออมนิคอมมีเดียกรุ๊ปจากสิงคโปร์ให้ความเห็นว่า

เขาบอกว่า “ตัวอย่างเช่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจัยเรื่องภูมิอากาศและสไตล์การใช้ชีวิตทำให้คนใช้เวลาในห้างมากกว่าคนยุโรป ซึ่งอาจไปซื้อของแค่สองสัปดาห์ต่อครั้ง นั่นแปลว่านักช็อปในเอเชียจะเบื่อเร็ว ห้างร้านจึงต้องเปลี่ยนแปลงการตั้งโชว์สินค้าและเสนอโปรโมชั่นใหม่ๆ ตลอดเวลา”

เพศก็เป็นตัวแปรที่ทำให้เรามีวิธีซื้อของต่างกัน เนื่องจากบรรพบุรุษของเราคือนักล่า-นักสะสม การสะสมจึงอยู่ในสายเลือด ซึ่งจะแรงแค่ไหนขึ้นกับว่าเป็นเพศชายหรือหญิง ปาโก อันเดอร์ฮิลล์ ผู้แต่งหนังสือ Why We Buy ได้ศึกษาพฤติกรรมการซื้อของในเชิงมานุษยวิทยามาหลายปี โดยติดตามความเคลื่อนไหวและสังเกตรูปแบบของการเดินชมและเลือกซื้อ สิ่งหนึ่งที่เขาพบคือ ถ้าเป็นเรื่องการชอปปิ้ง ผู้ชายคือนักล่า ผู้หญิงคือนักสะสม

แม้ว่าเหยื่อยุคใหม่คือถุงเท้าสักคู่หรือระบบบันเทิงในบ้าน แต่ผู้ชายก็ซื้อของด้วยทักษะที่พัฒนาจากการล่าเนื้อในสังคมโบราณงานวิจัยของอันดอร์ฮิลล์พบว่า ผู้ขายเพียงร้อยละ 72 ที่ดูป้ายราคาเมื่อเทียบกับผู้หญิงร้อยละ 86 สำหรับผู้ชายแล้ว การไม่สนใจป้ายราคาและมุ่งตรงไปที่การสังหาร (หรือการซื้อ) คือการวัดความเป็นลูกผู้ชาย งานวิจัยที่เผยแพร่โดยแดเนียล ครูเกอร์ และเดรย์สัน ไบเคอร์ ในปี พ.ศ. 2552 สอดคล้องกับการค้นพบของอันเดอร์ฮิลล์ เช่น การใช้ทักษะเพื่อนำสิ่งที่ล่าได้กลับไปให้ครอบครัวก่อนเน่าเสีย อันเดอร์ฮิลล์ยังพบว่าการซื้อของของผู้ชายนั้นตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและใช้เหตุผล เว้นแต่ว่าพวกเขากำลังมองหาสิ่งที่เหมือนของเล่นชิ้นใหม่ เช่น เครื่องมือไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ หรือชุดโฮมเธียเตอร์

ในทางตรงข้าม ผู้หญิงมักจะเพลิดเพลินกับการซื้อและเดินชมสินค้านานกว่า ยกเว้นเวลามีผู้ชายไปด้วย นักสะสมต้องประเมินได้ว่าผักผลไม้สุกหรือยัง ซึ่งอธิบายว่าทำไมผู้หญิงจึงแยกแยะเรื่องกลิ่น ผิวสัมผัส และ เฉดต่างๆ ของสีแดง ชมพู และเหลืองได้ดีกว่าผู้ชาย และยังอธิบายได้ว่าทำไมร้านค้าจึงตั้งโชว์เสื้อผ้าที่มีลวดลายสวยงามตรงทางเข้า ทั้งนี้ก็เพื่อล่อตาให้อยากสัมผัสและลองสวมใส่ และเพื่อดึงดูดเข้าไปในร้าน ซึ่งมีสิ่งเย้ายวนกว่ารออยู่






การชอปปิ้ง ทางประสาทสัมผัส

ผู้หญิงอาจตื่นเต้นเมื่อเห็นกล่องหรูสีฟ้าที่มียี่ห้อทิฟฟานีประทับอยู่ แต่ความจริงคือ การได้ยินและการได้กลิ่นนั้นเหนือกว่าการได้เห็น จึงช่วยอธิบายว่าทำไมการตัดสินใจซื้อส่วนใหญ่จึงเกิดในเสี้ยววินาที

จากข้อมูลของลินต์สตรอม เสียงกระตุ้นพื้นที่ทุกส่วนในสมอง แต่การได้กลิ่นคือประสาทสัมผัสเดียวที่ข้ามสมองส่วนที่ใช้เหตุผล แม้เป็นกลิ่นเทียมก็สามารถกระตุ้นความจำ และความรู้สึกที่แรงกล้าได้ เช่น ความรู้สึกอบอุ่นสบายจากกลิ่นวาฟเฟิลอบใหม่หอมกรุ่นแถวร้านไอศกรีมฮาเก้นดาสส์ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่คนงบประมาณน้อยหรือกำลังควบคุมอาหารไม่ควรไปช็อปขณะท้องว่าง

เขาเขียนไว้ว่า “เมื่อเราได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ประสาทรับกลิ่นในจมูกจะส่งตรงเข้าสู่ระบบลิมบิกซึ่งเป็นสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ ความจำ และความพอใจ ผลคือเราจะตอบสนองในทันที ถ้าเป็นสัมผัสอื่นๆ คุณต้องคิดก่อนตอบสนอง แต่ถ้าเป็นกลิ่น สมองจะตอบสนองก่อนคุณคิด”

แม้ว่าปัจจุบันยังมีข้อมูลไม่มากพอจะบอกได้ว่ากลิ่นที่รื่นรมย์ช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ แต่การทำตลาดสินค้าด้วยกลิ่นก็เริ่มมีเข้ามาในห้างร้านมากขึ้น แม้ยังเพิ่งเริ่มต้น สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเรื่องนี้ โดยทำบอร์ดโฆษณาที่ปล่อยกลิ่นเนื้อย่างหรือกลิ่นโคนวาฟเฟิลเพื่อดึงดูดลูกร้านใกล้ร้านในญี่ปุ่น ห้างสรรพสินค้ามาสีซาคายะปล่อยกลิ่นต่างๆ มาในอากาศตามช่วงเวลาของวัน โดยช่วงเช้าเป็นกลิ่นที่กระตุ้นให้ลูกค้าสดชื่น และเป็นกลิ่นที่ผ่อนคลายในตอนสายๆ ทั้งนี้เพื่อมุ่งเป้าหมายให้ลูกค้าใช้เวลาและเงินในห้างสรรพสินค้าให้มากที่สุด กลิ่นช็อกโกแลตเป็นกลิ่นที่คนทั่วไปโปรดปรานกันมาก การวิจัยล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยมิดเดิลเซกซ์พบว่ากลิ่นช็อกโกแลตช่วยลดความเครียดและความกังวล ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย มีหลักฐานซึ่งยังไม่ได้ยืนยันระบุว่า การเห็นของหรูๆ อย่างน้ำพุช็อกโกแลต ทำให้ลูกค้าอดใจไม่อยู่และเกิดความรู้สึกอยากใช้เงิน

เราซื้อของเพื่อคลายเครียด เพื่อฉลองความสำเร็จ และเพื่อชดเชยความผิดหวัง แต่การละลายทรัพย์เพื่อบำบัดนี้ช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้นจริงหรือ

คำตอบจากลินด์สตรอมคือ ใช่ อย่างน้อยก็ช่วงสั้นๆ เนื่องจากสารโดปามีนที่ออกมาทำให้รู้สึกคุ้มค่า พึงพอใจ และเป็นสุข ซึ่งยังช่วยเพิ่มความคาดหวังจากรางวัลทั้งหลายตั้งแต่กำไรจากการพนันไปจนถึงผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินและรางวัลทางสังคม

“ความปลาบปลื้มที่เกิดขึ้นจากการซื้อ (แพดใหม่สักเครื่อง) อาจช่วยเพิ่มโอกาสในการหาคู่และเตรียมตัวเพื่อความอยู่รอดได้จริง”ๆ ลินส์สตรอมบอก “ทำไมนะหรือไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เราซื้อโดยคำนวณไว้แล้วว่าของเหล่านั้นจะให้สถานภาพทางสังคมแก่เราได้อย่างไร และสถานภาพก็เชื่อมโยงกับความสำเร็จในการหาคู่”

“นักวิทยาศาสตร์พบว่าพื้นที่ในสมองที่เกี่ยวข้องกับการมองตนเอง และอารมณ์ทางสังคมนั้นจะถูกกระตุ้นเมื่อเราเห็นสิ่งที่เราคิดว่าเท่ ซึ่งหมายความว่าเราตีค่าโทรศัพท์ไอโฟน รถฮาร์เลย์ และของอื่นๆ ในแง่ความสามารถที่จะเพิ่มสถานภาพทางสังคม

“ชุดกระโปรงแบรนด์ปราดาเก๋ๆ หรือรถเบนซ์ อาจเป็นแค่สิ่งที่เราใช้ดึงดูดเพศตรงข้ามเพื่อสืบทอดพันธุกรรมหรือผลิตทายาทให้เรา”

ดังนั้นถ้าคุณไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากซื้อของแก้เครียดแต่จำเป็นต้องเข้าศูนย์การค้าก็ควรทิ้งกระเป๋าสตางค์ไว้ที่บ้าน เพราะร้านค้ามีวิธีที่จะทำให้คุณซื้อของจนได้






บทความจาก นิตยสาร Rreadr's Digest ฉบับเดือน มกราคม 2555 หน้า 36-43