วัตถุประสงค์ของบล็อกนี้

เพื่อประกอบการเรียนการสอนรายวิชาอินเตอร์เน็ตเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน และเป็นเเหล่งรวบรวมความรู้ต่างๆที่น่าสนใจ

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

นิพพานเป็นอย่างไร?

พระศาสดาตรัสว่า

“สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด
มีทางปฎิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบนั้นมีอยู่

ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่อาจเข้าไปอยู่ได้

ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่อาจเข้าไปอยู่ได้

ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูป ดับสนิทไม่เหลือ

นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ(หมายถึงวิญญาณในขันธ์ 5)

สิ่ง ๆ หนึ่งซึ่งไม่มีสภาวะแบบโลกให้ปรากฏ
ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่อาจเข้าไปอยู่ ในที่ใด
ในที่นั้นดาวฤกษ์ทั้งหลาย ย่อมไม่ส่องแสง; ในที่นั้น
ดวงอาทิตย์ก็ไม่ปรากฏในที่นั้น
ดวงจันทร์ก็ไม่ส่องแสง
แต่ความมืด ก็มิได้มีอยู่ในที่นั้น

ที่สุดโลกแห่งใด อันสัตว์ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ
เราไม่กล่าวว่าใครๆอาจรู้ อาจเห็น อาจถึง ที่สุดแห่งโลกนั้น ด้วยการไป
ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้
ที่ยังประกอบด้วยสัญญาและใจนี่เอง,เราได้บัญญัติโลก
เหตุให้เกิดโลก
ความดับสนิทไม่เหลือของโลก
และทางดำเนินให้ถึงความดับสนิทไม่เหลือของโลกไว้

พระพุทธเจ้าสอนว่า..


มาแล้ววว 100 อันดับ โรงเรียนที่เก่งที่สุดในประเทศไทย

มาดูกันสิว่า โรงเรียนของเพื่อนๆ อยู่ลำดับที่เท่าไร ?
1. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
2. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
3. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
4. โรงเรียนบดิทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
5. โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย
6. โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จ.ลำปาง
7. โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จ.สงขลา
8. โรงเรียนสาธิต มศว.ปทุมวัน
9. โรงเรียนอัสสัมชัญ
10.โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
11.โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
12.โรงเรียนอุดรพิทยานุ จ.อุดรธานี
13.โรงเรียนสตรีวิทยา
14.โรงเรียนเทพศิรินทร์
15.โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จ.อุบลราชธานี
16.โรงเรียนสาธิต ม.เชียงใหม่
17.โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่
18.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.นครศรีธรรมราช
19.โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จ.เชียงราย
20.โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
21.โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
22.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
23.โรงเรียนนครสรรค์
24.โรงเรียนหอวัง
25.โรงเรียนวัดสุทธิวราราม
26.โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
27.โรงเรียนสุราษฎร์ธานี
28.โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน จ.ขอนแก่น
29.โรงเรียนสตรีวิทยา 2
30.โรงเรียนพิริยาลัย จ.แพร่
31.โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย
32.โรงเรียนสาธิต ม.ขอนแก่น
33.โรงเรียนพรหมานุสรณ์ จ.เพรชบุรี
34.โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย
35.โรงเรียน(ขออภัยค่ะ! คำนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ)ราชวิทยาลัย จ.ตรัง
36.โรงเรียนสาธิต ม.สงขลานครินทร์ จ.ปัตตานี
37.โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว
38.โรงเรียนโยธินบูรณะ
39.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี
40.โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
41.โรงเรียนจักรคำคณาทร จ.ลำพูน
42.โรงเรียนนารีรัตน์ จ.แพร่
43.โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
44.โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จ.นนทบุรี
45.โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จ.ขอนแก่น
46.โรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา
47.โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง จ.ยะลา
48.โรงเรียนศึกษานารี
49.โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จ.พิษณุโลก
50.โรงเรียนสาธิต มศว.ประสานมิตร
51.โรงเรียนสตรีศรีน่าน จ.น่าน
52.โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย จ.ร้อยเอ็ด
53.โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี
54.โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์
55.โรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา
56.โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม จ.บุรีรัมย์
57.โรงเรียนอัสสัมชัญสมุทรปราการ
58.โรงเรียนสิรินธร จ.สุรินทร์
59.โรงเรียนราชวิทยาลัย จ.สตูล
60.โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์
61.โรงเรียนสกลราชวิทยานุล
62.โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี 2 )
63.โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย
64.โรงเรียนชลราษฎร์อำรุง
65.โรงเรียนดาราวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
66.โรงเรียนพัทลุง
67.โรงเรียนพิษณุโลกวิทยาคม
68.โรงเรียนลำปางกัลยาณี จ.ลำปาง
69.โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย
70.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ บดินทรเดชา (บดินทรเดชา 3 )
71.โรงเรียนสุรวิทยาคาร จ.สุรินทร์
72.โรงเรียนเซนต์โยแซฟคอนแวนต์
73.โรงเรียนบูรณะรำลึก จ.ตรัง
74.โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม
75.โรงเรียนสารคามวิทยาคม จ.มหาสารคาม
76.โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี
77.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
78.โรงเรียนระยองวิทยาคม
79.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.จันทบุรี
80.โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม
81.โรงเรียนทวีธาภิเศก
82.โรงเรียนชลกันยานุล
83.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎนครปฐม
84.โรงเรียนมารีย์วิทยา จ.นครราชสีมา
85.โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย
86.โรงเรียน(ขออภัยค่ะ! คำนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ)ราชวิทยาลัย จ.มุกดาหาร
87.โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม
88.โรงเรียนสายน้ำผึ้ง
89.โรงเรียนเบญจมราชาลัย
90.โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช จ.นครศรีรรมราช
91.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎพระนครศรีอยุธยา
92.โรงเรียนเบญจมเทพอุทิศ จ.เพชรบุรี
93.โรงเรียนศรียาภัย จ.ชุมพร
94.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ หอวัง นนทบุรี
95.โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จ.อุดรธานี
96.โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี
97.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช
98.โรงเรียนสาธิต(พิบูลบำเพ็ญ) ม.บูรพา
99.โรงเรียนวิสุทธังษี จ.กาญจนบุรี
100.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้

บริหารดวงตา

การดูแลความสะอาดหนึ่งในอวัยวะแสนสำคัญที่หนุ่มๆ และสาวๆ มักจะใช้งานหนักอย่างไม่รู้ตัวในชีวิตประจำวันอย่าง “ดวงตา” นั้น มีอยู่มากมายหลายวิธี แต่ว่าแค่การดูแลความสะอาดนั้นอาจจะไม่เพียงพอ หนุ่มๆ ควรจะต้องทำการผ่อนคลาย หรือให้ดวงตาได้พักผ่อนด้วยนะครับ


นอกจากการจ้องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ แล้ว การที่หนุ่มๆ ชอบเล่นเกมส์ หรือแชทในมือถือก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ “ดวงตา” เกิดอาการเหนื่อยล้าได้ วันนี้ “พี่กิต” ก็เลยมี “วิธีการบริหารดวงตา” ที่ทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง มาให้หนุ่มๆ ได้ลองทำ และนำไปแชร์ให้เพื่อนๆ ได้ดูกันด้วยนะครับ



เริ่มจากท่าที่ 1 นั่งในท่าสบายๆ หลับตาลง แล้วก็สูดลมหายใจเข้าช้าๆ ส่งจิตไปรู้สึกที่ดวงตา หายใจออกช้าๆ ลืมตาขึ้น ทำสลับกัน 8 ครั้ง ซึ่งการทำเช่นนี้จะไปช่วยกระตุ้นให้น้ำตาหล่อเลี้ยงลูกตาของหนุ่มๆ ได้ดียิ่งขึ้น

ท่าที่ 2 หน้านิ่งตรง เหลือบตาขึ้นมองเพดาน - เหลือบตามองลงพื้น ทำสลับไปมา 5 รอบแล้วหลับตาลง

ท่าที่ 3 หน้านิ่งตรง เหลือบตามองขึ้น - ลงในแนวเฉียง โดยมองไปทางหางคิ้วขวา - โหนกแก้มซ้าย สลับไปมา 5 รอบแล้วหลับตาลง

ท่าที่ 4 หน้านิ่งตรง เหลือบตามองขึ้น - ลงในแนวเฉียง โดยมองไปทางหางคิ้วซ้าย-โหนกแก้มขวา สลับไปมา 5 รอบแล้วหลับตาลง

ท่าที่ 5 หน้านิ่งตรง ยกนิ้วโป้งขึ้น แขนเหยียดตรงไปข้างหน้า ให้สายตาของหนุ่มๆ ได้ปรับโฟกัสโดยมองที่ปลายจมูกก่อน > มองไปที่นิ้วหัวแม่โป้ง > มองเลยไปข้างหน้าประมาณ 10 เมตร > มองที่นิ้วหัวแม่โป้ง > มองปลายจมูก หนุ่มๆ ก็มองเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 5 รอบ แล้วหลับตาลง

ขั้นตอนสุดท้าย ใช้นิ้วกลางของหนุ่มๆ ทั้งสองข้างกดเบาๆ ที่เบ้าตา เริ่มที่หัวคิ้ว กดไล่ออกไปทางหางตาจนรอบดวงตา จากนั้นก็จบการบริหารดวงตาโดยถูฝ่ามือทั้งสองข้างไปมาประมาณ 15-20 ครั้ง หรือจนรู้สึกว่ามีความอุ่นเกิดขึ้นที่ฝ่ามือ แล้ววางฝ่ามือไปที่ดวงตาทั้งสอง โดยให้บริเวณฐานมืออยู่ที่ดวงตา หายใจเข้าช้าๆ ส่งจิตไปรู้สึกที่ดวงตา หายใจออกช้าๆ ลืมตาขึ้น



Tips for Eye Health

1. สำหรับหนุ่มๆ ที่สวมคอนแทคเลนส์
ก่อนเริ่มการบริหารดวงตาทุกครั้ง ต้องถอดคอนแทคเลนส์ออกก่อน

2. ก่อนเริ่มการบริหารดวงตา
ควรล้างหน้า และมือให้สะอาด เพื่อความสดชื่น และความสะอาด

3. การรับประทานกล้วยเป็นประจำ จะช่วยลดอาการตาแห้งได้
เพราะโพแทสเซียมที่มีอยู่มากในกล้วย จะทำงานร่วมกับโซเดียม และจะช่วยปรับความสมดุลของน้ำในร่างกายให้หนุ่มๆ จึงมีผลดีกับน้ำตาหล่อเลี้ยงดวงตา

4. ระหว่างทำงาน
ควรพักสายตาโดยการละสายตาจากหน้าจอไปที่ต้นไม้เขียวๆ หรือมองไปที่จุดอื่นสัก 5 นาที

5. คนที่ใช้คอนแทคเลนส์ และมีปัญหาตาแห้ง
ควรสลับมาใช้แว่นบ้าง และเลือกใช้คอนแทคเลนส์ที่มีค่าอมน้ำสูง

ตะลึง! แม่น้ำแยงซีกลายเป็นสีแดง ตรงกับไบเบิล บทที่ 16 โยงสัญญาณวันสิ้นโลก




เมื่อวานนี้ (8 กันยายน) มีรายงานข่าวว่า หลังจากแม่น้ำแยงซี ที่ไหลผ่านเมืองฉงชิ่ง ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ได้กลายเป็นสีแดง โดยเป็นทางน้ำที่ไหลบรรจบพบกับแม่น้ำเจียลิน ขณะที่เจ้าหน้าที่ทางการกำลังสอบสวนหาสาเหตุของสถานการณ์ดังกล่าว โดยผู้คนต่างบอกว่ารู้สึกตะลึงเมื่อเก็บตัวอย่างของน้ำจากแม่น้ำดังกล่าวลงในขวด ซึ่งเห็นเป็นสีแดงราวกับเลือด

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า เหตุการณ์นี้คล้ายกับแม่น้ำเจียน ในเมืองหลิวหยาง ในมณฑลเฮอหนาน ทางตอนเหนือของจีน ซึ่งกลายเป็นสีแดง หลังจากได้รับมลพิษจากสีย้อมผ้าที่่รุนแรง โดยถูกทิ้งจากจากโรงงานย้อมผ้าผิดกฎหมาย และทำให้ทางการต้องเข้าปิดโรงงานดังกล่าวและยึดเครื่องจักร

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ปรากฎการณ์นี้ดูเหมือนจะคล้ายกับเนื้อหาในพระคัมภีร์ไบเบิลบทที่ 16 ที่ระบุถึงสัญญาณของวันสิ้นโลกว่า เทวดาจะโยนบาปลงสู่แม่น้ำต่าง ๆ และทำให้แม่น้ำกลายเป็นสีเลือด

เทคนิคการเดาข้อสอบอย่างเทพ


1) ตัดช้อยส์
เป็นเทคนิคเมื่อโบราณกาลนานมาแล้ว เป็นเทคนิคคลาสสิคที่ใครๆ เค้าทำกัน คือ ตัดตัวเลือกที่ดูไม่น่าเกี่ยวข้อง หรือ ไม่ใช่แน่ๆ ออกไป เพราะข้อสอบแต่ละข้อก็จะมีบ้างที่น้องๆ สามารถรู้ว่าช้อยส์นี้ไม่ใช่ ดังนั้น ตัดออกไป ถ้าตัดไดถึง 2 ข้อจะดีมาก เพิ่มโอกาสถูกให้เรา 50 - 50% เลยทีเดียว กลับกันหากเราเดาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ตัดช้อยส์โอกาสถูกจะมีเพียง 25% หรือ 1 ใน 4 เท่านั้น

2) ข้อที่ทำไม่ได้ ให้ข้ามไปก่อน
บางข้อคิดหัวแทบแตกก็ไม่ได้คำตอบ ตัดช้อยส์ก็ไม่ได้ แนะนำให้ข้ามข้อนี้ไปก่อนเลย แล้วค่อยกลับมาทำทีหลังโดยใช้เทคนิคอื่นเข้าช่วย อย่าดันทุรังฝืนทำต่อไป เพราะจะเสียเวลาโดยใช่เหตุ ลองคิดดูว่าฝืนคิดข้อละ 1 นาที 20 ข้อ เท่ากับเราเสียเวลาแบบไม่ได้คำตอบไป 20 นาทีเชียวนะ

3) "ไม่มีข้อใดถูก" มักเป็นตัวเลือกหลอก
ในคำถามที่เน้นการวิเคราะห์และความจำที่ช้อยส์จะยาวเป็นพิเศษ และมักจะมีช้อยส์ "ไม่มีข้อใดถูก" อยู่ด้วย แนะนำว่าถ้ามีช้อยส์นี้ขึ้นมาให้ตัดออกไปได้เลย เพราะการคิดช้อยส์ให้ผิดยากกว่าคิดช้อยส์ให้ถูกนะคะ ที่สำคัญคือ ถ้าตั้งโจทย์มาแล้วแต่ไม่มีข้อถูกในนั้น นักเรียนก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไร เรียกว่าเป็นช้อยส์ที่เกิดมาเพื่อหลอกโดยเฉพาะ ยกเว้นแต่ว่าอาจารย์คนนั้นเป็นที่ขนานนามกันว่าเดาแนวข้อสอบยาก อะไรก็เกิดขึ้นได้!!
ส่วนตัวเลือก "ถูกทุกข้อ" อันนี้ค่อยมีโอกาสเป็นไปได้ แต่น้องๆ ควรอ่านโจทย์ให้ครบทุกข้อซะก่อน สิ่งที่ต้องดูคือ เนื้อหาในช้อยส์มีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ ขัดแย้งกันเองหรือไม่ เป็นต้น
แต่ถ้าเกิดมีตัวเลือก "ไม่มีข้อใดถูก" กับ "ถูกทุกข้อ" พร้อมกัน ไม่น่าจะมีโอกาสเป็นไปได้ค่ะ สามารถดูช้อยส์ 2 ข้อที่เหลือแล้วเลือกตอบได้เลย

4) คำตอบที่แย้งกันเอง มักจะมีข้อใดข้อหนึ่งถูก
ลองสวมบทบาทคนออกข้อสอบดู เมื่อใส่คำตอบที่ถูกไปแล้ว พอคิดคำตอบที่ผิดขึ้นมาก็มักจะสร้างคำตอบที่ตรงกันเอาไว้ก่อน เรียกว่าเป็นช้อยส์คู่ขนาน เช่น คำตอบที่ลงท้ายว่า "มากขึ้น - ลดลง" เป็นต้น อยู่ที่ว่า 2 ช้อยส์ที่ตรงข้ามกันนั้นเราจะรู้คำตอบมั้ย

5) ช้อยส์ที่มีความหมายเหมือนกัน ตัดทิ้งได้เลย
ตรงกันข้ามกับคำตอบที่แย้งกันอันนั้นให้เก็บไว้และเลือกคำตอบที่ถูกต้อง ส่วนช้อยส์ที่มีเนื้อหาหรือความหมายเหมือนกันให้ตัดทิ้ง เพราะถ้าข้อนึงถูก อีกข้อนึงก็ต้องถูก ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ เช่น
ข้อใดคือประโยชน์ของวิตามินเอ?
ก.บำรุงสายตา
ข.บำรุงกระดูก
ค.บำรุงฟัน
ง.ป้องกันหวัด
อันนี้เป็นตัวอย่างคร่าวๆ ที่อยากให้น้องๆ เห็นภาพ สมมติว่าข้อนี้น้องๆ ไม่รู้คำตอบเลย ก็ลองดูที่ช้อยส์จะเห็นว่า จริงๆ แล้วกระดูกและฟันมันก็คล้ายๆ กัน ถ้าเกิดมันต้องตอบฟัน กระดูกก็จะต้องตอบด้วย เพราะฉะนั้นจะแยกกันไม่ได้ ดังนั้นตัดออกได้เลยทั้งสองช้อยส์ก็จะเหลือข้อ ก) และ ง) ที่เหลือก็ต้องตัดช้อยส์กันต่อไป ถ้าไม่ได้ต้องเดาต่อ

6) ทิ้งดิ่ง
เมื่อลองทุกวิถีทางมาแล้ว เชื่อว่าจะเหลือข้อที่ทำไม่ได้ประมาณ 10% ถ้ามากกว่านี้ต้องสงสัยแล้วล่ะว่าได้อ่านหนังสือมาบ้างมั้ยเนี่ย ฮ่าๆ เอาล่ะ เมื่อข้อที่เหลือไม่สามารถตัดช้อยส์ได้ ก็ให้ทิ้งดิ่ง โดยมีหลักการเลือกข้อที่จะทิ้งดิ่งว่า ต้องเป็นข้อที่มีคำตอบน้อยที่สุด เช่น ข้อสอบ 100 ข้อ เหลือข้อที่ตอบไม่ได้ 12 ข้อ ข้อ ก) มี 21 ข้อ ข)มี 14 ข้อ ค)มี 27 ข้อ ง) 26 ข้อ จะเห็นได้ว่า ข้อ ข) มีคำตอบน้อยที่สุด เพราะฉะนั้น 12 ข้อที่เหลือให้ทิ้งดิ่ง เทกระจาด ตลาดแตกที่ข้อ ข) ได้เลย

คำถามที่เกิดขึ้นคือ แล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าอาจารย์จะออกข้อสอบแบบเฉลี่ยคำตอบให้เท่ากันทุกข้อ ในความเป็นจริงอาจารย์คงไม่ได้จัดให้เท่ากันเป๊ะๆ หรอกค่ะ แต่เราได้ทำข้อที่มั่นใจมากและเกือบมั่นใจไปจนเกือบหมดแล้ว แต่คำตอบในบางข้อก็ถูกกาน้อยซะเหลือเกิน จะให้เราไปทิ้งดิ่งในข้อที่คำตอบเยอะแล้วก็คงจะไม่ใช่ ดังนั้นแบบนี้แหละที่เพิ่มโอกาสได้คะแนนมากกว่า.... ถึงอาจารย์บางท่านจะไม่ได้ยึดหลักเฉลี่ย 25 เท่ากัน แต่ก็เชื่อว่ามีหลายท่านนะคะที่ยังใช้หลักนี้อยู่^^

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

พาราเซตามอล ยาสามัญที่ต้องระวัง

พาราเซตามอล ยาสามัญที่ต้องระวัง
โดย แพทย์หญิง ประพิมพ์พร ฉัตรานุกูลชัย แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ และโภชนวิทยาทางคลินิก โรงพยาบาลบีเอ็นเอช

พาราเซตามอลเป็นยาแก้ปวด และลดไข้ที่คนไทยนิยมใช้กันมากที่สุด เนื่องจากเชื่อว่าปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง จริงอยู่ที่พาราเซตามอลมีข้อดีที่ไม่ระคายเคืองกระเพาะ แต่แท้จริงแล้วพาราเซตามอลมีผลข้างเคียงที่อันตรายที่สุด คือ การเกิดพิษต่อตับ หากใช้เกินขนาดหรือใช้ติดต่อกันนานเกินไป

ภาวะเป็นพิษต่อตับจากยาพาราเซตามอลนั้น เกิดได้ทั้งจากความตั้งใจรับประทานยาเกินขนาดเพื่อทำร้ายตัวเอง ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า การรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาดเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดตับอักเสบเฉียบพลัน และเกิดภาวะตับวาย ซึ่งอาการอาจรุนแรงถึงขั้นต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนตับ หรือเสียชีวิต หากไปรับการรักษาไม่ทันท่วงที

ส่วนผู้ป่วยกลุ่มที่เกิดภาวะเป็นพิษต่อตับโดยความไม่ตั้งใจนั้น พบได้บ่อยในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยส่วนหนึ่งไม่ทราบว่า กำลังทำร้ายตัวเองด้วยการรับประทานยาแก้ปวดที่มีผลทำร้ายตับต่อเนื่องเป็นเวลานาน การรับประทานยาพาราเซตามอลเป็นเวลานาน แม้ว่าจะรับประทานไม่เกินขนาดที่แนะนำ แต่ถ้ารับประทานต่อเนื่องเป็นเวลานานก็มีโอกาสที่จะเกิดตับอักเสบได้เช่นเดียวกัน ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะไปรับการรักษาช้า เนื่องจากไม่ตระหนักถึงพิษภัยที่อาจเกิดขึ้นได้จากการรับประทานยาพาราเซตามอลเป็นเวลานาน



เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2554 องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. Food and Drug Administration หรือ USFDA) ได้ออกประกาศให้บริษัทยาที่ผลิตยาแก้ปวดสูตรผสมที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ ให้ลดปริมาณยาพาราเซตามอลลงจากเดิม จากขนาด 500 มิลลิกรัมต่อเม็ดเป็น 325 มิลลิกรัมต่อเม็ด เพื่อลดความเสี่ยงของผู้บริโภคในการที่จะได้รับปริมาณยาพาราเซตามอลเกินขนาด และลดความเสี่ยงที่จะเกิดพิษต่อตับ นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้ระบุถึงผลข้างเคียงของยาพาราเซตามอล ที่ฉลากยาให้ชัดเจนว่า "ยามีผลทำให้เกิดพิษต่อตับอย่างรุนแรงได้" นอกเหนือจากผลข้างเคียงอื่นที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการแพ้ยาหรือผื่นคัน

แม้ว่ายาพาราเซตามอลจะเป็นยาแก้ปวดลดไข้ที่มีประโยชน์ แต่หากใช้ผิดวิธีก็อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ จึงต้องระมัดระวังในการใช้ยา และหากอาการไม่ดีขึ้นหลังรับประทานยา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุเสมอ





ข้อควรระวังที่ควรทราบเกี่ยวกับยาพาราเซตามอล คือ ไม่ควรรับประทานเป็นประจำต่อเนื่องเป็นเวลานาน และไม่ควรรับประทานยาพาราเซตามอลเกินวันละ 4 กรัม ในประเทศไทยซึ่งยามักจะอยู่ในรูปแบบเม็ดละ 500 มิลลิกรัม คือ รับประทานได้ไม่เกิน 8 เม็ดต่อวัน และไม่เกิน 1-2 เม็ดต่อครั้ง (ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 50 กิโลกรัมควรรับประทานพาราเซตามอลครั้งละ 1 เม็ดเท่านั้น)

นอกจากนี้ไม่ควรดื่มสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ขณะที่รับประทานยาพาราเซตามอล ส่วนผู้ป่วยที่มีโรคตับเรื้อรัง ตับแข็ง หรือดื่มสุราเป็นประจำจะมีความเสี่ยงในการเกิดพิษต่อตับง่ายกว่าคนปกติ จึงควรงดเว้นการรับประทานพาราเซตามอล หรือหากจำเป็นจริง ๆ ก็ควรรับประทานให้น้อยที่สุด

ข้อควรระวังอีกอย่างคือ มียาสูตรผสมเป็นจำนวนมากที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ เช่น ยาแก้ไข้หวัด ยาแก้ปวดเมื่อย ยาคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งยาสูตรผสมเหล่านี้ หากนำมารับประทานร่วมกันโดยไม่ทราบว่ามีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ เช่น รับประทานยาแก้ไข้หวัดพร้อม ๆ กับยาคลายกล้ามเนื้อ จะทำให้ได้รับยาเกินขนาด และเกิดตับอักเสบ หรือตับวายเฉียบพลันได้ ดังนั้น ก่อนรับประทานยาทุกชนิดจึงควรอ่านฉลากยาให้ละเอียดเสมอ ถ้าไม่แน่ใจว่ายามีส่วนประกอบของพาราเซตามอลหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนบริโภคยาทุกครั้ง